ประสบการณ์ตรงของผม แม่ผมเป็นมะเร็งลำไส้ และไม่มี ประกันสุขภาพ
ผมเองเป็นอีกคนที่เคยมอง ประกันชีวิต ว่าเป็นเรื่องเอาเปรียบ หลอกลวง แต่พอเกิดเรื่องกับครอบครัวผมเองจึงรู้ว่าถ้ามีประกันมันจะอุ่นใจกว่าเยอะและจะมีเงินรักษาแม่ได้ดีกว่านี้
ครอบครัวผมทำอาชีพค้าขายไม่มีประกันสังคม มีแต่บัตร 30 บาทที่รัฐบาจัดให้ เมื่อ 30 ปีก่อน มีเพื่อนพ่อมาขายประกันให้แม่ผมบอกว่า ทำประกันเหมือนแช่งตัวเอง แต่ด้วยความเกรงใจเพื่อนพ่อผมก็ทำ และพ่อผมก็เป็นคนเดียวที่มีสิทธ์ใช้ประกันชีวิตเพราะคนอื่นไม่ได้ทำเลย พอเวลาผ่านไป คนก็เริ่มแก่ลง อาการเจ็บป่วยก็เริ่มถามหา ถึงตอนนี้ แม่ผมอยากทำประกันชีวิต ประกันสุขภาพ เค้าก็ไม่รับทำแล้ว เพราะเป็นทั้งไขมันในเส้นเลือด ความดันสูง พี่สาวผมอยากทำ ก็ทำไม่ได้ เพราะก็เป็นไขมันในเส้นเลือด ความดันสูง ทำได้แต่ประกันชีวิต แต่ทำประกันสุขภาพไม่ได้ และวันอันเลวร้ายก็มาถึง แม่ผมถ่ายไม่ออกมา 3 วัน ไปหาหมอ หมอบอกว่า คุณอาจเป็นมะเร็งลำไส้ แต่ต้องส่องกล้องก่อนถึงจะรู้ผมแน่นอน ถ้ารอคิวใช้สิทธิ์ ของรัฐบาลก็รอไปอีก 2 เดือน ผมจึงตัดสินใจใช้เงินสดไปส่องกล้องที่โณงพยาบาลเอกชน เสียไป 9,000 บาท ผลออกมาว่า เป็นมะเร็งครับ และคราวนี้แหละ ทุกคนในบ้านถึงจะเป็นความสำคัญของประกันชีวิต เพราะตอนนี้แม่ผมอยากทำประกันชีวิต เค้าก็ไม่รับ แถมยังมองไปถึงเงินที่จะเอามารักษาแม่ และที่สำคัญพ่อผมเป็นโรคไต ก็ต้องใช้เงินเยอะอีกเช่นกัน ถ้าเรามีเงินมากมายก็ไม่ใช่ปัญหาครับ แต่ที่บ้านผมทำอาชีพค้าขายก็ไม่ถึงกับรวยอะไร แต่ก็พอจะมีบ้าง ผมจึงมองถึงประโยชน์ของประกันชีวิต ถ้าแม่ผมทำประกันไว้ วันนี้ก็จะมีเงินรักษาแบบไม่ต้องกังวลใจ
ถ้าย้อนเวลาได้ แม่ผมคงจะทำประกันไว้ ครับ
การทำประกันชีวิตและประกันสุขภาพ ไม่ใช่เรื่อง คุ้มหรือไม่คุ้ม ประกันชีวิตมีอย่างเดียวที่คุ้มคือ จ่ายเบี้ยปีแรกแล้วตายเลย คุ้มแน่ แต่คุณอยากตายหรือ
ประกันชีวิตแบบที่คุณจะไม่ได้ใช้ เพราะคนที่ใช้คือ ภรรยาม่าย หรือ พ่อม่าย หรือลูกกำพร้า นั่นหมายถึง เงินจะได้มาก็ตอนคุณตาย ซึ่งคุณต้องตายแน่แต่จะเมื่อไหร่ไม่รู็ ฉนั้น เงินคุณไม่สูญเปล่าแน่ครับ
ประกันสุขภาพ จะทำได้ก็ตอนที่คุณยังไม่ป่วย ถ้าคุณป่วยไปแล้ว อยากทำเค้าก็ไม่รับทำครับ คุณก็คิดเองละกันว่า คุณจะทำประกันสุขภาพตอนไหน ตอนที่นอน ICU อะป่าว


ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น